วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

รำวงมาตรฐาน

รำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐาน คือ การรำที่มีท่ารำเป็นแบบแผนแน่นอน มีวิวัฒนาการจาก “ รำโทน”
รำโทน” เป็นศิลปะการละเล่นพื้นเมือง โดยผู้เล่นเดินเป็นวง อาจยืนอยู่กับที่ หรือเดินรำเรียงตามกันเป็นวง เป็นการรำคู่ ระหว่างหญิงกับชาย มีดนตรีหรือร้องเพลงประกอบการรำ ดนตรีที่ใช้ประกอบการร้องคือ ฉิ่ง กรับโทน เสียงโทนจะดังเร้าใจ สนุกสนาน จึงเรียกการรำตามเสียงดนตรีที่ใช้ประกอบการรำว่า รำโทน”
“ รำโทน” นิยมเล่นกันในฤดูเทศกาลต่าง ๆ เฉพาะท้องถิ่นในบางจังหวัด ต่อมาได้มีผู้นำไปเล่นในท้องถิ่นอื่นอย่างกว้างขวาง เล่นทุกโอกาสที่มีงานรื่นเริง บทร้องส่วนใหญ่มีความหมายเชิงหยอกเย้า ชมโฉม รำพันรัก ระหว่างหนุ่มสาว และบทลาจากกัน บทร้องไม่พิถีพิถันในเรื่องถ้อยคำและสัมผัสนัก ในช่วงระยะเวลาที่รำโทนที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ก็มีบทเพลงใหม่ ๆ และทำนองแปลก ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ บทเพลงเหล่านี้ขาดการบันทึกเป็นหลักฐาน จึงไม่ทราบว่าผู้ใดแต่งบทเพลงและประดิษฐ์ทำนองขึ้น บทเพลงเก่าบางบทเพลงเสื่อมความนิยมลง บทเพลงใดที่มีความไพเราะกินใจก็ยังจดจำกันต่อมาและนิยมร้องกันอยู่ เช่น เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ยวนยาเหล ช่อมาลี ตามองตา หล่อจริงนะดารา เป็นต้น
รูปแบบของท่ารำวงหรือรำโทนนี้ ไม่มีท่ารำที่มีแบบแผนแน่นอน ลักษณะท่าทางการรำขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้รำและอารมณ์ที่สนุกสนานในขณะนั้น ( พ.ศ. 2484-2488 ) ประชาชนในกรุงเทพมหานคร ( พระนครและธนบุรี ) พากันเล่นรำโทนอยู่ทั่วไป
ต่อมา กรมศิลปกร ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ( สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ) ให้ปรับปรุงการเล่นรำโทนเสียใหม่ ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามแบบนาฏศิลป์ไทย
ปีพุทธศักราช 2487 กรมศิลปกรได้มอบให้ จมื่นมานิตย์นเรศ ( เฉลิม เศวตนันท์ ) เป็นผู้ประพันธ์คำร้องขึ้นมาใหม่ 4 เพลง คือ งามแสงเดือน ชาวไทย รำมาซิมารำ คืนเดือนหงาย พร้อมทั้งประดิษฐ์ท่ารำตามแบบนาฏศิลป์ขึ้นใช้เฉพาะเพลง ต่อมา ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้ประพันธ์คำร้องขึ้นมาอีก 6 เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ดอกไม้ของชาติ หญิงไทยใจงาม ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ยอดชายใจหาญ บูชานักรบ เพลงต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นนี้ กรมศิลปกร และกรมประชาสัมพันธ์ ได้ร่วมกันปรับปรุงทำนองโดยมี นางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก ( หม่อมต่วน ) นางมัลลี คงประภัศร์ และนางละมูล ยมะคุปต์ ได้ร่วมกันประดิษฐ์ท่ารำตามแนวทางแบบนาฏศิลป์ไทยขึ้น ซึ่งเราเรียกรำวงที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ว่า “ รำวงมาตรฐาน”

ระบำ


ระบำ หมายถึง การฟ้อนรำเป็นชุดกัน ( พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. 2493 : 761 ) ในความหมายของการแสดง เป็นศิลปะของการรำเป็นหมู่ ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ไม่คำนึงถึงการใช้บทมากนัก คำนึงถึงพร้อมเพรียงในการใช้ลีลาท่ารำ ความสวยงามของการแต่งกายเป็นสำคัญทั้งนี้จะรวมไปถึงระบำของท้องถิ่น ซึ่งการแต่งกาย ภาษา ทำนองเพลงและลีลาท่ารำจะออกไปตามท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น ทางเหนือ ได้แก่ ฟ้อนต่าง ๆ ทางอีสาน ได้แก่ เซิ้ง